มิงกะลาบา…พม่า
*****จากการที่ผู้เขียนได้มีโอกาสไปเยี่ยมชมประเทศพม่าจากการเดินทางไปทำงานเพื่อส่งเสริมส่งเสริมผู้ประกอบการไทยในการขยายตลาดสู่ต่างประเทศ*ณ*เมืองย่างกุ้ง*สหภาพพม่า*โดยหน่วยงานของผู้เขียน*สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.)*ได้แนะนำการให้บริการทดสอบและแนะนำงานวิจัยต่างๆ*กับผู้ประกอบการและหน่วยงานราชการ*อุตสาหกรรมส่วนใหญ่ของพม่าที่มีชื่อเสียงมากคือ*อุตสาหกรรมอัญมณี*ทั้งทับทิม*หยก*ไข่มุก *อุตสาหกรรมไม้*อุตสาหกรรมอาหาร*อุตสาหกรรมเบียร์*เป็นต้น*ในครั้งนี้*จึงอยากบันทึกถึงความทรงจำที่มีต่อประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงที่กำลังเป็นที่นิยมในการสักการะบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์*ให้ผู้อ่าน*KM*Lite*ได้ติดตาม
11111เสร็จจากการทำงานผู้เขียนได้มีโอกาสไปสักการะสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของพม่าที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มามากมายในเมืองย่างกุ้ง*ที่ทุกคนเมื่อมาถึงแล้วต้องมาสักการะ *ถ้าไม่มาถือว่ามาไม่ถึงพม่า*คือพระมหาธาตุเจดีย์ชเวดากอง*(Shwedagon*Pagoda)*ซึ่งเป็นเจดีย์ที่คนพม่าให้ความเคารพและนับถือเป็นอย่างมาก
*****จากข้อมูลแนะนำการท่องเที่ยว*พระมหาธาตุเจดีย์ชเวดากอง*ตั้งอยู่บริเวณเนินเขาเชียงกุตระ*เมืองย่างกุ้ง*ชาวพม่าเชื่อว่า*เป็นสถานที่บรรจุพระเกศาธาตุจำนวน*8*เส้น*ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า*และเครื่องอัฐบริขาร*ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอดีตอีก*3*พระองค์*พระเจดีย์แรกเริ่มสร้างมีความสูง*18*เมตร*ปัจจุบันมีความสูง*98*เมตร*เจดีย์ชเวดากอง*ได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์มาหลายครั้งด้วยกัน*เจดีย์ทำ*ด้วยทอง*ส่วนเรือนยอดประดับด้วยเพชร*5,448*เม็ด*รวมทั้งทับทิม*นิล*และบุษราคัมอีก*2,317*เม็ด*และที่ปลายยอดประดับด้วยเพชรเม็ดที่ใหญ่ที่สุด*ขนาด*76*กะรัต*เรียกว่าโคตรเพชรกันเลยทีเดียว
*****ปัจจุบันชาวพม่ายังมีศรัทธาในพุทธศาสนา*ในทุกๆ*50*ปี*จะนำยอดฉัตรของพระเจดีย์ลงมาบูรณะและอนุญาตให้ประชาชน*นำเครื่องสักการะ*คือ*เครื่องประดับอัญมณี*แก้ว*แหวน*เงินทอง*เพชร*นิล*จินดา*มาถวายเป็นพุทธบูชา*เพื่อขึ้นติดไว้บนยอดฉัตรของพระเจดีย์*การเข้ามาสักการะหรือเยี่ยมชมพระเจดีย์จะต้องถอดรองเท้าทุกครั้ง*การเดินให้เดินตามเข็มนาฬิกาสิ่งที่ไม่ควรพลาดเมื่อเข้าไปสักการะพระเจดีย์*คือ*การสักการะพระพุทธรูปของพระพุทธเจ้า*4*พระองค์คือ*พระกักกุสันโธ*พระโกนาคม*พระกัสสปะ*และพระโคตรมะ,*การไปตีระฆัง*3*ครั้ง,*การพยายามหาจุดที่ยืนและทำให้มองเห็นประกายเพชรบนยอดฉัตรได้ด้วยตาเปล่า*และมีการพูดหยอกล้อกันเล่นๆว่าคนมีบุญเท่านั้นนะถึงจะมองเห็นด้วยตาเปล่า*ผู้เขียนเลยเสียเวลาในการส่องเพชรนานกว่าใคร*ต้องเห็นให้ได้สิน่า
*****หลังจากส่องดูเพชรเสร็จแล้วก็ควรสรงน้ำพระพุทธรูปและสัตว์สัญลักษณ์ประจำวันเกิดที่ตั้งอยู่รอบๆลาน*โดยเชื่อกันว่าการสรงน้ำพระพุทธรูปและสัตว์เหล่านี้*จะสร้างความบริสุทธิ์และความสุขความเจริญแก่ผู้สรงน้ำ*โดยจะรดน้ำด้วยขันเล็กๆ*โดยให้สรงน้ำจำนวนเท่าอายุแล้วบวกอีก*1*แต่สำหรับ*คนแก่*ที่อายุมากๆก็อาจจะสรงแค่*5*ขันก็ได้*การสรงน้ำนี้*อย่าให้พลาด*เพราะมากมายหลายขันอย่างที่ผู้เขียนไปสรง*นับเป็นการฝึกสมาธิ
************************************สัตว์ประจำวันเกิดของพม่าที่คนเกิดวันต่างๆจะไปสรงน้ำกันคือ
วัน | สัตว์สัญลักษณ์วันเกิด | ทิศที่ตั้ง |
วันอาทิตย์ | ครุฑ | ตะวันออกเฉียงเหนือ |
วันจันทร์ | เสือ | ทิศตะวันออก |
วันอังคาร | สิงห์ | ทิศตะวันออกเฉียงใต้ |
วันพุธ (เช้า) | ช้างงา | ทิศใต้ |
วันพุธ(กลางคืน) | ช้างไม่มีงา | ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ |
วันพฤหัสบดี | หนู | ทิศตะวันตก |
วันศุกร์ | หนูตะเภา | ทิศเหนือ |
วันเสาร์ | พญานาค | ทิศตะวันตกเฉียงใต้ |
*****เสร็จจากการสักการะพระเจดีย์ชเวดากอง*ก็ต้องไปสักการะขอพรพระเทพทันใจ เทพที่ได้ชื่อว่าศักดิ์สิทธิ์ขอพรสิ่งใดได้สมหวังรวดเร็วทันใจ*พระเทพทันใจตั้งอยู่ที่เจดีย์โบทาทาว*ซึ่งเป็นเจดีย์ที่บรรจุพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้า*การเข้าไปสักการะพระเทพทันใจหลังจากเข้าผ่านประตูทางเข้าให้เดินเลี้ยวซ้ายและตรงไปเรื่อยๆ*ผ่านสะพานกลางน้ำไป*การขอพรจากพระเทพทันใจ*ให้นำธนบัตร*2*ใบมาม้วนและเสียบใส่มือท่าน*หลังจากนั้นตั้งจิตอธิษฐานโดยขณะอธิษฐานให้นิ้วชี้ของท่านจรดอยู่ที่หน้าผากของเรา*หลังจากอธิษฐานเสร็จให้นำธนบัตรกลับมาบูชา*1*ใบ
*****ท่องเที่ยวกันมาจนเหนื่อยอาจจะรู้สึกหิวเลยขอแนะนำอาหารเช้าประจำชาติพม่าที่เป็นที่นิยม*เรียกว่า*โมงอินกา*เป็นแกงที่ทำมาจากน้ำซุปปลาเคี่ยวกับหยวกกล้วยใส่กะปิ*หอม กระเทียม*ตะไคร้*ถั่ว*ทานกับเครื่องเคียงอย่างถั่วแผ่นชุบแป้งทอด*ลูกชิ้นปลาแบบแผ่น*ถั่วเขียวคั่วป่นละเอียด*รสชาติคล้ายขนมจีนน้ำพริกของไทย*เรียกได้ว่าเป็นอาหารเช้าประจำชาติจริงๆ*เพราะเขาทานกันได้ทุกที่ทุกเวลาในตอนเช้า*เพราะขนาดในงานสัมมนาที่ผู้เขียนไปเข้าร่วม*ก็มีให้รับประทานร่วมกับของว่างน้ำชา*กาแฟ
*****หลังจากได้เยือนพม่า*4*วัน*3*คืน*ความคิดที่มีกับพม่าในตอนแรกว่าประเทศนี้จะน่ากลัวไหม*เนื่องจากข่าวการเมืองและเหตุการณ์ต่างๆนานาที่เราดูจากโทรทัศน์*แต่จากการได้สัมผัส*ไม่เป็นไปอย่างที่คิดเลย*ถึงแม้บรรยายกาศถนน*ตึกรามบ้านช่องที่ทำให้ย้อนคิดถึงกรุงเทพฯ*เมื่อ*20-30*ปีก่อน*ที่ยังไม่มีรถยนต์ราคาแพง*ตึกสวยสูงสง่า*แต่กลับรู้สึกว่าประชาชนชาวพม่าเป็นคนที่อยู่อย่างพอเพียง*มีความเป็นชาตินิยม*ใบหน้าที่มีความสุข*ยิ้มแย้ม*และจิตใจดีมากๆประเทศหนึ่งเลยทีเดียว*จากการมาเยือนของผู้เขียนความคิดที่มีในตอนนี้คิดและหวังว่าวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจะช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของชาวพม่าให้ดีขึ้นและในขณะเดียวกันขอให้ความเลื่อมใสในศาสนาที่ชาวพม่ามีคงจิตใจที่งดงามของชาวพม่าไว้ตลอดไป
สวนคาเมะยามะแห่งอาราชิยามะ …..แม่น้ำโฮซึ งดงามสงบในแสงตะวันฉาย
11111สำหรับคนที่เคยเดินทางไปญี่ปุ่นเพื่อชมใบไม้เปลี่ยนสี คงจะเห็นพ้องเหมือนผู้เขียนว่า ฤดูใบไม้เปลี่ยนสีของญี่ปุ่นนั้น ทำให้เรารู้สึกราวกับอยู่ในสรวงสวรรค์ที่มีแต่ความงดงามรอบกาย สวนคาเมะยามะและแม่น้ำโฮซึแห่งอาราชิยามะ ก็เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่ทำให้เรารู้สึกเช่นนั้น
11111อาราชิยามะ อยู่ห่างจากกรุงเกียวโตไปไม่ไกลนัก (ความรวดเร็วของรถไฟญี่ปุ่นทำให้ที่ไหนๆ ในญี่ปุ่นก็ดูใกล้ไปหมด) สถานีที่พวกเราจะต้องลงคือ Saga Torokko อาจแวะเที่ยววัดเทนเรียวจิ (Tenryuji Temple) วัดโบราณมรดกโลกกันก่อนก็ได้ จากนั้นก็เดินเลียบป่าไผ่โบราณ เพื่อไปทะลุออกยังสวนคาเมะยามะ
11111ที่สวนคาเมะยามะแห่งนี้ มีรูปปั้นอนุสาวรีย์โจวเอินไหลอยู่ด้วย
11111ตามประวัติกล่าวว่า ท่านโจวเอินไหล อดีตนายกรัฐมนตรีจีนผู้นี้ เคยเดินทางมาเพื่อจะศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยนานไก ของญี่ปุ่น และเดินทางจากจีนมาถึงท่าเรือโกเบ ในปี ค.ศ. 1919 แต่ดูเหมือนท่านจะไม่ประสบความสำเร็จในการเล่าเรียนที่ญี่ปุ่นนัก ในที่สุด จึงตัดสินใจเดินทางกลับประเทศจีน ก่อนกลับ ก็ได้แวะมาเที่ยวเกียวโต รวมทั้งย่านอาราชิยามะแห่งนี้
11111ฤดูกาลที่ท่านมาเที่ยว คือช่วงที่ดอกซากุระกำลังบาน ส่วนภูเขาก็เขียวขจี จึงก่อแรงบันดาลใจให้ท่านเขียนบทกวีชื่นชมธรรมชาติ ซึ่งได้สลักไว้บนก้อนหินที่สวนคาเมยามะ ที่จริงท่านไม่ได้มานั่งสลักหินเองหรอก แต่รัฐบาลญี่ปุ่นทำให้ไว้เป็นที่ระลึกถึงสนธิสัญญาสันติภาพและมิตรภาพญี่ปุ่น-จีน
11111หินสลักบทกวีนี้ทำพิธีเปิดในปี ค.ศ. 1979 โดยภรรยาและทายาทของท่านโจวเอินไหล
นี่คือบทกวีที่ท่านเขียนไว้นะคะ ก็ถอดความมาจากภาษาอังกฤษน่ะค่ะ เพราะผู้เขียนมีความรู้ภาษาจีนเท่าหางเขียด (เล็กกว่าหางอึ่ง) จริงๆ
อาราชิยามะในสายฝน
มาเยี่ยมเยือนอาราชิยามะเป็นครั้งที่สองในสายฝน
ริมฝั่งน้ำเรียงรายด้วยต้นสนกับดอกซากุระเบ่งบานตามเส้นทาง
ที่สุดปลายทางคือเขาตระหง่านเงื้อม
กับธารน้ำเขียวเข้มรินไหล
ในท่ามกลางสายฝนหมอกมัวมน
กลับมีลำแสงตะวันฉายส่องผ่านม่านเมฆ
อาราชิยามะยิ่งแลดูงดงาม
ดั่งหนึ่งการเดินทางค้นหาความจริงแท้ในโลกมนุษย์
ยิ่งพยายามเท่าใด ยิ่งสับสนมากเท่านั้น
ทันทีที่เธอแลเห็นแสงส่องอย่างสับสนเช่นนั้น
เธอจึงได้รู้สึกถึงความงามอย่างแท้จริง
11111พวกเรามาเที่ยวอาราชิยามะ คนละฤดูกาลกับโจวเอินไหล แม้กระนั้น เราก็ได้พบความงามของอาราชิยามะอลังการท่ามกลางป่าเปลี่ยนสีเช่นกัน
จากอนุสาวรีย์โจวเอินไหล พวกเราออกเดินต่อ มุ่งหน้าสู่แม่น้ำโฮซึ
11111ทางเดินมุ่งสู่แม่น้ำโฮซึ
11111ทางเดินที่เลียบแม่น้ำโฮซึนั้น เป็นดังที่โจวเอินไหลพรรณนา ว่า ณ ริมฝั่งน้ำอีกด้าน คือภูเขาเงื้อมเงาสูง ซึ่งขณะนี้อาบไล้ไปด้วยใบไม้เปลี่ยนสี
แลลอดผ่านกิ่งไม้ แอบมองแม่น้ำโฮซึ
11111ทางเดินเลียบฝั่งน้ำ มุ่งสู่ตลิ่ง ใบไม้สีแดงฉานเบิกบานในแสงแดด
11111แม่น้ำโฮซึผ่านสุมทุมพุ่มพฤกษ์
11111คณะเราพากันเดินเลียบทางเดิน แลลอดป่าใบไม้ แอบดูแม่น้ำโฮซึที่ไหลรินเงียบๆ อยู่เบื้องล่าง
11111นี่คือเสน่ห์ของอาราชิยามะที่นักท่องเที่ยวต่างหลั่งไหลมาชื่นชมภูมิทัศน์อันงดงาม
ความงามของป่าเปลี่ยนสี
11111นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ สัมผัสสายน้ำอย่างได้รสชาติด้วยการล่องเรือที่จอดเรียงรายอยู่ริมฝั่งน้ำ ระยะเวลานั่งประมาณ 2 ชั่วโมง
ล่องเรือในแม่น้ำ
11111ด้านหนึ่งของแม่น้ำคือหุบเขาอันมืดครึ้ม แต่ขณะนี้แต่งแต้มไปด้วยสีสันของป่าเปลี่ยนสี
ส่วนอีกด้านหนึ่ง เราเห็นสะพาน โทเกะซึเคียว ทอดยาวข้ามลำน้ำ ความหมายของชื่อสะพาน แปลได้ไพเราะว่า สะพานข้ามสู่ดวงจันทร์ (Crossing Moon Bridge)
11111ในแม่น้ำโฮซึ ฝูงนกนางนวลบินฉวัดเฉวียนลอยร่อน บ้างก็ลอยอยู่ในน้ำเฝ้ารอเหยื่อ
11111เห็นสะพานข้ามดวงจันทร์อยู่ลิบๆ
11111สาวน้อยในชุดยูกาตะท่องเที่ยวสดใส
เพลิดเพลินเจริญใจอยู่ริมฝั่งน้ำสมควรแก่เวลา คุ้มค่ากับการได้เห็นธรรมชาติที่สวยๆ งามๆ
ย้อนรอยกรุงเก่า จากจริงสู่ฉาก..กองถ่าย”ตำนานสมเด็จพระนเรศวร”
ในช่วงวันหยุดเข้าพรรษาที่ผ่านมา ได้ศุภฤกษ์มงคลออกจากกรุงเทพเมืองฟ้าอมร มาทำบุญที่วิหารพระมงคลบพิตร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา สักการะหลวงพ่อมงคลบพิตร พระพุทธรูปพระประธานปางมารวิชัย หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์องค์ใหญ่ที่สุดองค์หนึ่งของประเทศไทย ศิลปกรรมเป็นแบบอยุธยาตอนต้นผสมสุโขทัย ซึ่งคาดว่าสร้างขึ้นในช่วงระหว่าง พ.ศ.๑๙๙๑-๒๑๔๕ แห่งราชวงศ์สุพรรณภูมิ แต่เดิมวิหารและตัวองค์พระนี้ ก็ถูกไฟไหม้เสียหายหนักเหมือนเช่นวัดวาอารามอื่นๆ ในพระนครครั้งเสียกรุง พ.ศ.๒๓๑๐ และถูกปล่อยทิ้งร้างมายาวนาน จนปี พ.ศ.๒๔๙๙ จึงได้รับการบูรณะใหม่ทั้งหมด ดังปรากฏเป็นปัจจุบัน
เสร็จจากหน้าวิหารมงคลบพิตร เดินลัดเลาะต่อเนื่องมาตามแนวกำแพงเก่าและทิวต้นไม้ ถือโอกาสเยี่ยมชมร่องรอยอารยธรรมและเศษซากที่อยู่หลังแนวกำแพงพระราชวังโบราณเดิมนั้นกันต่อ นั่นคือวัดพระศรีสรรเพชญ์ เขตพุทธาวาสในพระราชวังแห่ง“กรุงเทพมหานครบวรทวาราวดีศรีอยุธยา มหาดิลกภพนพรัตน์ราชธานี บุรีรมย์อุดมมหาสถาน” หรืออาณาจักรกรุงศรีอยุธยา ราชธานีเดิมของเรานั่นเอง
วัดพระศรีสรรเพชญ์ แต่เดิมเคยเป็นที่ประทับของพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) ปฐมกษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา ต่อมาเมื่ออาณาจักรอยุธยาแผ่ขยายไพศาลเป็นมหานครขนาดใหญ่ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ(รัชกาลลำดับที่ ๘) จึงทรงโปรดให้ขยับขยายสร้างพระราชวังใหม่ถัดมาทางตอนเหนือ แล้วยกที่ประทับเดิมนั้นให้เป็นวัดหลวงประจำพระราชวัง ซึ่งได้กลายเป็นคติต้นแบบของวัดพระศรีรัตนศาสดารามและพระบรมมหาราชวังแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ในปัจจุบัน.
วัดพระศรีสรรเพชญ์ มีจุดเด่นคือ พระสถูปเจดีย์ใหญ่แบบลังกา เรียงสามองค์ โดยองค์ตะวันออกบรรจุพระอัฐิของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ องค์กลางบรรจุพระอัฐิของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3 และองค์ที่สามถัดมาจากด้านทิศตะวันตกบรรจุพระอัฐิของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 ซึ่งแม้จะเหลือเพียงเศษซากปรักหักพัง ก็ยังคงเห็นถึงความยิ่งใหญ่และสวยงามมาจนถึงปัจจุบัน จนได้รับการเลือกจากมหาชนเป็น หนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ยุคเก่าของประเทศไทยมาตลอด 3 ปีซ้อน (2551-2553) (ข้อมูลจาก http://www.7wondersthailand.com)
ถัดมาสู่เขตพระราชฐาน เคยเป็นที่ตั้งของพระที่นั่งองค์สำคัญหนึ่งที่สร้างขึ้นในครั้งนั้นคือ พระที่นั่งสรรเพชญ์มหาปราสาท สำหรับใช้เป็นท้องพระโรงประกอบพิธีสำคัญของพระมหากษัตริย์ ดั่งเคยปรากฏเป็นฉากสำคัญในละครและภาพยนตร์ย้อนยุคสมัยอยุธยาเสมอๆ แต่พระที่นั่งองค์นี้ก็ถูกเผาทำลายลงทั้งองค์ ไปพร้อมกับพระราชวังทั้งหมด วัดพระศรีสรรเพชญ์ วิหารมงคลบพิตร ตลอดจนทั่วทั้งเมืองพระนคร เมื่อครั้งเสียกรุงแก่พม่าในปี พ.ศ. ๒๓๑๐ จนในปัจจุบันเหลือแต่ฐานและกำแพงบางส่วนเท่านั้น
ต่อมาสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ ๑ ปฐมกษัตริย์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ขณะสร้างราชธานีใหม่ ทรงให้อัญเชิญพระประธานวัดพระศรีสรรเพชญ์ พระนามว่าพระศรีสรรเพชญดาญาณ ซึ่งอดีตเป็นพระพุทธรูปยืนสูง 16 เมตร หุ้มด้วยทองคำหนัก 286 ชั่ง (ราว 171 กิโลกรัม) แต่ได้รับความเสียหายอย่างหนักยากแก่การบูรณะใหม่หลังถูกพม่าสุมไฟลอกทองตัวองค์พระไป ย้ายมาประดิษฐานบรรจุไว้ในพระเจดีย์สร้างใหม่ในวัดพระเชตุพนฯ (วัดโพธิ์) เรียกเจดีย์สรรเพชญดาญาณ ซึ่งถือต่อมาภายหลังเป็นพระเจดีย์ประจำรัชกาลและวัดประจำรัชกาลที่ ๑ ด้วย
ผลพวงจากการเก็บร่องรอยประวัติศาสตร์อยุธยาทริปนี้ จุดประกายให้อยากเห็นภาพของพระราชวังโบราณแห่งนี้พลิกฟื้นมามีชีวิตที่งดงามอีกครั้งหนึ่ง การจำลองพระที่นั่งสรรเพชญ์มหาปราสาทนั้นมีสองแห่งด้วยกัน ที่สมบูรณ์ที่สุดทั้งองค์อยู่ที่สถานที่ท่องเที่ยว เมืองโบราณ จ.สมุทรปราการ และอีกแห่งหนึ่งก็คือฉากในภาพยนตร์ ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ของพร้อมมิตรสตูดิโอ ที่ตั้งอยู่ภายในเขตกองพลทหารราบที่ 9 ค่ายสุรสีห์ จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งปัจจุบันเปิดให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญอีกแห่งหนึ่งของเมืองกาญจน์ไปเรียบร้อยแล้ว และนี่คือที่มาของการตะลอนโรงถ่ายท่านมุ้ย ในสัปดาห์ต่อมา
จากทางหลวงหมายเลข 3199 กาญจนบุรี-เขื่อนศรีนครินทร์ ถึงสี่แยกลาดหญ้า เลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 3086 อีกราวสองกิโลเมตร พบป้ายพร้อมมิตรสตูดิโอ ชี้ให้เลี้ยวซ้ายเข้าถนนซอยเล็กๆ ตรงมาซักพักก็มั่นใจได้ว่าในเขตทหารแน่นอน ด้วยเพราะพบทหารกางกั้นตั้งป้อมตรวจรถที่ผ่านเข้ามาอยู่กลางถนน นาย ท.ทหารอดทน กล่าวด้วยน้ำเสียงยิ้มแย้มแนะนำนักท่องเที่ยวว่า ขับต่อไปอีกสองกิโลเมตรถึงทางเข้าโรงถ่ายฯ พอพ้นด่านมาก็ชวนสงสัยว่า เอ๊ะนี่ก็นักแสดงหรือว่าทหารจริงๆกันนะ? แต่ก็เอาเถอะ ไม่อยากกลับไปให้พี่แกพิสูจน์ด้วยลูกปืน M ซักเท่าไหร่ จึงมุ่งหน้าต่อไป..จนถึงซะที.. โรงถ่ายภาพยนตร์พร้อมมิตรสตูดิโอ โดยหม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล ที่ในใบแนะนำกล่าวไว้ว่า ใช้เวลาก่อสร้างกว่า 4 ปี จากพื้นที่ป่ารกราว 2,000 ไร่
ฉากและอาณาบริเวณที่เปิดให้ชม เริ่มต้นจากฟากฝั่งพม่ากรุงหงสาวดีก่อน ได้แก่ หมู่บ้านโยเดีย หรือชุมชนชาวอโยธยาที่ถูกพม่ากวาดต้อนมาครั้งกรุงแตกครั้งที่ ๑ (ปี พ.ศ.๒๑๑๒) ผ่านฉากวัดร้างในตอนที่พระองค์ดำพบกับมณีจันทร์ในวัยเยาว์ (1) ถัดเข้ามาเป็นกุฏิมหาเถรคันฉ่อง (2), ห้องเก็บศาสตราวุธ, วัดและโบสถ์วัดมหาเถรคันฉ่อง (3-4) เจดีย์ทองคำภายในวัด จากนั้นข้ามคูน้ำผ่านเข้ากำแพงเมืองหงสาวดี มุ่งสู่สีหสาสนบัลลังก์ ที่ด้านหน้าทางเข้าเป็นสิงห์คู่ซ้ายขวานั่นเอง (5) ซึ่งแต่ละจุดชมสำคัญ จะมีจอทีวีเปิดอธิบายถึงจุดนั้นๆในฉากที่ถ่ายทำในภาพยนตร์ และมีวิทยากรประจำจุดคอยเล่าอธิบายและตอบข้อซักถามสงสัยแก่นักท่องเที่ยวด้วย
ติดกันมาเป็นฉากคุกใต้ดินที่มีประตูเหล็กหนาหนักทำจากโฟม และซี่ลูกกรงห้องขังเหล็กจากท่อพีวีซี แต่งสีซะเชื่อสนิทใจว่าแข็งแรง. เดินต่อมาหน่อยพบพระพุทธรูปยืนองค์ใหญ่ (6) และจุดถ่ายภาพที่ระลึก ที่นักท่องเที่ยวสามารถซื้อแพ็กเกจเพื่อเปลี่ยนเครื่องแต่งกายมาย้อนยุคถ่ายกับฉากที่เซ็ตไว้ในตำหนักพระนเรศวรได้ แต่อาจต้องใช้เวลาซักหน่อยในการแต่งตัวและรอคิวถ่าย
ออกจากหงสา ข้ามถนนมาไม่ไกลก็ถึงอโยธยา สู่เป้าหมายที่ถูกจุดประกายไว้นั่นคือ ฉากสรรเพชญ์ปราสาท จำลองภายในท้องพระโรงพระที่นั่งสรรเพชญ์มหาปราสาท นั่นเอง (10) แต่ถึงแม้จะไม่ได้จำลองละเอียดทั้งองค์เท่าที่เมืองโบราณ แต่ก็สวยงามน่าประทับใจไม่น้อย รายละเอียดการแกะต่างๆ นับว่าประณีตสมจริงทีเดียว
ออกจากสรรเพชญ์ปราสาท ผ่านจุดตั้งปืนไฟโปรตุเกส (7) และกำแพงเมืองอโยธยา (8) ผ่านซุ้มประตูออกมานอกเมือง ที่มีกิจกรรมบริการนักท่องเที่ยวทั้งขี่ช้าง ขี่ม้า นั่งเกวียน หรือรอรถกอล์ฟรับส่ง ก็ตามสะดวก เพื่อนำชมในส่วนของหมู่บ้านอโยธยา (9) และโรงถ่ายตำหนักบุเรงนอง ที่อยู่ภายในโรงสำหรับถ่ายจริงๆ จากภาพ (11-12) มองออกไปนอกหน้าต่างตำหนัก จะเห็นกำแพงและบ้านเรือนอยู่ไกลๆ นั่นคือการเซ็ตฉากหลังขนานแท้ เพราะเป็นฉากท้องฟ้าและบ้านเรือนย่อส่วน ซึ่งในภาพยนตร์ที่เราได้เห็นกัน จะต้องมีการเซ็ตแสงไฟและตกแต่งด้วยต้นไม้เพื่อให้เกิดการพัดไหวจริง พร้อมกับให้คนเดินผ่านไปมา เพื่อสร้างความสมจริงยิ่งขึ้น. แต่ฉากที่ชมผ่านมาแล้วบางฉากนั้นก็เป็นการสร้างขึ้นมากลางแจ้ง ด้วยปูนจริงไม้จริง ผสานโฟมบ้างก็มี ซึ่งในส่วนของบ้านเรือนในหมู่บ้านชาวอโยธยา ก็โดนลมฝนฟ้าคะนองจริงหอบพังไปหลายหลังอยู่เหมือนกัน เมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี่เอง โอ๊ว! เดินเชื่อมต่อกันมายังโรงเก็บอุปกรณ์ประกอบฉาก ที่ภายในเป็นที่เก็บสารพัดสิ่งในฉากภาพยนตร์ที่เราได้เห็นกัน ทั้งอาวุธ หอก ดาบ เกราะ หมวก โล่ ที่หยิบมาใส่เล่นถ่ายรูปได้ หรือราชยานคานหาบ พระพุทธรูปปางไสยาสน์แกะจากโฟมทำสี ที่ดูจากในภาพยนตร์องค์ใหญ่มาก แล้วก็มาถึงปลายทางของรอบวงท่องเที่ยวโรงถ่ายตำนานสมเด็จพระนเรศวรกันแล้ว นั่นคือจุดจำหน่ายของที่ระลึก เครื่องดื่ม เป็นที่ปิดท้ายรายการตามแบบแหล่งท่องเที่ยวขนาดใหญ่ เป็นอันครบถ้วนทั่ว
เชื่อว่าไปกาญจนบุรีครั้งต่อไปของคุณ คงไม่พลาดที่จะไปแวะชมซักครั้งหนึ่ง พร้อมมิตรสตูดิโอ เปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 09.00-18.00 น. ซึ่งควรเผื่อเวลาในการชมไว้ประมาณ 2 ชั่วโมง จะได้ไม่รีบไม่ร้อน และที่อยากแนะนำคือซื้อภาพยนต์สองภาคแรกฉบับลิขสิทธิ์แท้ มาทวนความทรงจำเตรียมไว้ก่อนจะมา ก็จะเพิ่มอรรถรสดีมากครับ คุ้มค่าเกินราคาค่าบัตรผ่านมากๆ เพียงแค่ 100 บาทเท่านั้นสำหรับคนไทย ผมเชื่อว่าแม้การลงทุนในตัวการสร้างภาพยนตร์อาจมีผู้สนับสนุน แต่การจะดูแลรักษาให้คงสภาพเป็นสถานที่ท่องเที่ยวไปตราบนานเท่านาน นี่เป็นค่าใช้จ่ายผูกพันที่ไม่น้อยทีเดียว และยิ่งน่าเสียดายยิ่งขึ้นเมื่อมาแล้วต้องพบความจริงของนักท่องเที่ยวชาวบ้านไทยเราว่า มักนิสัยเสียแบบผู้รักการพิสูจน์ด้วยมือไปซะแทบทุกที่ อยากทราบว่าของจริงหรือฉากแค่แตะสัมผัสไม่พอ ต้องถึงกับจิก-แคะ-แกะ-หัก-ขูด โฟมที่เขาแกะสลักและทำสีไว้สวยๆ ให้มันปรุแหว่งเป็นหย่อมๆ ซะได้ ซึ่งบางอย่างขนาดใหญ่ๆ ใช่ว่าจะซ่อมปะกันได้ง่ายๆ เรื่องของจิตสำนึกสาธารณะบ้านเรายังต่ำกันมากทีเดียว ในบางจุดที่ยังคงต้องใช้ถ่ายทำในภาค 3 และ 4 กันอยู่ก็มีอีกมาก จึงไม่เปิดให้ชม
ปิดท้ายได้ทราบจากใบแนะนำว่า พร้อมมิตรสตูดิโอจะมีการพัฒนาปรับปรุงต่อไปให้โรงถ่ายแห่งนี้เป็นโรงถ่ายภาพยนต์ระดับมาตรฐานโลก จำนวน 4 สตูดิโอ, สร้างเป็นศูนย์ฝึกอบรม สัมมนา/ค่ายลูกเสือ/ค่ายเยาวชน พร้อมฐานผจญภัย และลานกิจกรรม, การสร้างบ้านพักลักษณะเรือนไทยโบราณ ในรูปแบบโฮมสเตย์ และการสร้างพิพิธภัณฑ์หุ่นขึ้ผึ้งของศิลปินแห่งชาติสาขาภาพยนตร์ อีกด้วย.
สนใจเยี่ยมชมโรงถ่ายพร้อมมิตรสตูดิโอ ดูรายละเอียดและภาพเพิ่มเติมได้ที่…
www.prommitrfilmstudio.com
เรื่องเล่าเข้าค่ายฯ พอเถอะ . . . ร้อนจัง
*****ค่ายวิทยาศาสตร์เยาวชน ซึ่งจัดที่สถานีวิจัยสิ่งแวดล้อมสะแกราช จ.นครราชสีมา ของสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ปีนี้ ร้อนมาก (ร้อนจนอยากส่ง SMS ไปวิ่งใต้รายการของคุณสรยุทธ์ทางช่อง 3 ว่า “สะแกราชร้อนกว่าลำปางมากค่ะ” แต่บังเอิญว่าสัญญาณโทรศัพท์ดันไม่มี) น้อง ๆ ทีมงานหลายคนที่เคยร่วมงานกันมาตั้งแต่ปีแรก ๆ ก็บ่นให้ฟังว่า “พี่ ๆ นี่โลกเราร้อนขึ้นจริง ๆ นะ ร้อนกว่าแต่ก่อนที่เคยว่าร้อนแล้วมากมากเลย” (ทั้งที่การจัดค่ายฯนี้ จะจัดในช่วงวันและเดือน ที่ใกล้เคียงกันทุกๆ ปี คือประมาณช่วงปลายสัปดาห์หลังเทศกาลสงกรานต์) เมื่อได้ฟังน้องทีมงานบ่นกันถึงเรื่องความร้อน ก็แอบปาดเหงื่อด้วยความภูมิใจนิดนึง ว่า เรากำหนดธีม (theme) และคอนเซ็ปต์ (concept) ของค่ายวิทยาศาสตร์เยาวชนครั้งนี้ได้ถูกทางแล้ว เพราะปี พ.ศ. 2553 นี้ ทางทีมงานของเราได้กำหนดชื่อตอนเอาไว้ว่า พอเถอะ . . . ร้อนจัง ขยายความ ก็คือ ใช้ชีวิตตามแนวทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงกัน (เถอะ) เพื่อที่จะได้ช่วยลดภาวะโลกที่ ร้อนขึ้น ๆ (จัง) ได้
*****ค่ายวิทยาศาสตร์เยาวชน ของ วว. ปีนี้ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 21-23 เมษายน พ.ศ. 2553 รวมเวลาสามวันสองคืนด้วยกัน หลังจากที่มีการประชาสัมพันธ์กิจกรรมการจัดค่ายฯ พร้อมทั้งเปิดรับสมัครเยาวชนโดยสื่อต่างๆ ที่ วว. พึงมี เราก็ได้เยาวชนที่มีหัวใจรักษ์สิ่งแวดล้อม รักการเข้าค่ายฯ มาจำนวน 51 คน (แอบดีใจ เพราะทะลุเป้าไปหนึ่งคน) เมื่อถึงวันที่ 21 เมษายน ทางทีมงานก็ได้พาน้อง ๆ เยาวชนทั้งหมดนั่งรถบัสเดินทางไปยังสถานีวิจัยสิ่งแวดล้อมสะแกราช จ.นครราชสีมา และกิจกรรมต่าง ๆ ก็ได้เริ่มต้นขึ้นที่นั่น
เราเริ่มต้นกิจกรรมของค่ายฯ ด้วยความสนุกสนานแฝงการเรียนรู้เข้าไป ภายใต้คอนเซ็ปต์ Learning by playing พร้อมกับฝึกฝนให้น้องๆ เยาวชนได้เรียนรู้ในการปรับตัวและใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่น รู้จักระเบียบวินัย ความสามัคคี ความซื่อสัตย์ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ผ่านการเล่นเกมส์ในหลากหลายรูปแบบ โดยทางทีมงานหน้าเก่าๆ (ขอย้ำว่าทั้งเก่าและแก่ เพราะร่วมงานกันมาตั้งแต่ปี 2545 สมัยที่ยังเป็นวัยรุ่นกันอยู่โน่นแน่ะ) เชื่อเถอะ ว่าเยาวชนได้อะไรมากกว่าความสนุกสนานจากการเล่นเกมส์ เกมส์ดีๆ ไม่ใช่แค่ได้ความสนุก เฮฮา กรี๊ดกร๊าด แต่แฝงแง่คิดในมุมใหม่ๆ ให้เยาวชนเสมอ และเขาจะจดจำได้อย่างแม่นยำ และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ในอนาคต
*****จากนั้น กิจกรรมด้านวิทยาศาสตร์ฯ ก็ค่อย ๆ ตามมา ด้วยการให้เยาวชนได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์ด้านชีวภาพ เน้นการศึกษาความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity) ของพื้นที่สะแกราช ซึ่งสถานีวิจัยสิ่งแวดล้อมสะแกราชนี้ นำความภาคภูมิใจมาสู่ชาว วว. รวมถึงชาวไทยทั้งประเทศ เพราะในปี พ.ศ. 2519 สถานีวิจัยสิ่งแวดล้อมสะแกราชได้รับการรับรองจาก UNESCO ภายใต้โครงการ MAB (Man and Biosphere Program) ให้เป็นแหล่งสงวนชีวมณฑลแห่งหนึ่งของโลกซึ่งเป็นแห่งแรก ของประเทศไทย และเป็น 1 ใน 7 แห่งของเอเซีย
*****ช่วงค่ำหลังรับฟังการบรรยายภาพรวมของสะแกราชผ่านการนำเสนอภาพสวยๆ ของพี่ๆ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของสถานีวิจัยสิ่งแวดล้อมสะแกราชแล้ว เราก็ได้พาน้องๆ เยาวชนเดินขึ้นไปนอนเล่น ณ ลานจอดเฮลิคอปเตอร์ เพื่อสร้างบรรยากาศหลังติดผืนป่า ตาจ้องมองดวงดาว พร้อมกันนี้ยังเป็นการเปิดโอกาสให้น้องๆ เยาวชน ได้เรียนรู้เกี่ยวกับแมลงหลากหลายสายพันธุ์ที่ออกมาเล่นไฟ ซึ่งน้องๆ เยาวชนได้ทำให้เรียนรู้ว่า ขนาดแค่แมลงที่รวมตัวอยู่กันในป่านี้ก็มีเกือบพันชนิดแล้ว และถ้าเป็นทั้งโลกนี้ล่ะ จะมีมากขนาดไหน
*****ในเช้าวันรุ่งขึ้น พวกเราทีมงานและน้องๆ เยาวชนตื่นกันแต่เช้าตรู่ เมื่อถึงเวลาหกโมงเช้าพวกเราก็ยกขบวนแยกกันไปสองสาย สายหนึ่งไปดูนกโดยเยาวชนได้ฝึกการใช้กล้องส่องทางไกล (binocular) และฝึกอ่านคู่มือดูนกในป่าสะแกราช ส่วนอีกสายไปตามรอยไก่ฟ้าพญาลอ นกประจำชาติไทย แต่แหม ไก่ฟ้าพญาลอนี่ก็ตามหายากใช่เล่น เพราะเราก็ออกกันแต่เช้าแล้วเชียวนะ ยังไม่ค่อยจะทันเจ้าไก่ฟ้าพญาลอออกหากินเลย น้องเดี่ยว เจ้าหน้าที่สถานีวิจัยสิ่งแวดล้อมสะแกราช เปรย ๆ ให้ฟังว่า “โลกมันร้อนขึ้นพี่ หน้าร้อนก็สว่างเร็วกว่าเดิม ทำให้การออกหากินของสัตว์ก็ยิ่งต้องเช้าขึ้น ปีหน้าถ้าพี่มาอีก แนะนำให้ออกมาดูตั้งแต่ตีห้าครึ่งครับ” … (รับทราบ ครับ น้องเดี่ยว แต่แค่หกโมงเช้านี้ น้องๆ เยาวชน 51 ชีวิตก็จะรุมยำพวกพี่ ๆ อยู่แล้ว)
*****ส่วนช่วงสายๆ เก้าโมง พวกเราก็ได้เริ่มกิจกรรมที่ถือว่าเป็นไฮไลต์ของค่ายฯ ครั้งนี้ ซึ่งก็คือ การได้เดินป่าศึกษาธรรมชาติเป็นระยะทางประมาณแปดกิโลเมตรด้วยกัน การเดินป่านี้ถือว่าไม่ลำบากเลย เนื่องจากพี่ๆ ชาวสะแกราชเขาได้กรุยทางเดินไว้ให้แล้ว เป็นเส้นทางศึกษาธรรมชาติที่ระยะทางพอเหมาะกับระดับอายุของเยาวชน เยาวชนจะได้เห็นป่าหลักของสะแกราชทั้งสองป่า ได้แก่ ป่าดิบแล้ง และป่าเต็งรัง ซึ่งน้องๆ เยาวชนตื่นตาตื่นใจมากกับการเดินป่า เพราะในป่าในแทบจะทุกตารางเมตร จะมีความรู้ที่น่าสนใจรออยู่ ตลอดทาง อาทิเช่น น้องๆ ได้ไปเห็น ไลเค็น (Lichen) เกาะบนลำต้นไม้ ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตเห็ดรา และสาหร่ายที่เป็นดัชนีชี้วัดมลพิษทางอากาศ ซึ่งหาแทบไม่ได้แล้วในเมืองใหญ่ๆ หรือการได้เอาหูไปแนบฟังเสียงลำต้นตะแบกดูดน้ำในดินฝืนแรงต้านทานของโลก ขึ้นไปเลี้ยงใบยอดต้น และอื่นๆ อีกมากมาย ที่ต้องไปสัมผัสเองจริง ๆ ถึงจะเข้าใจความรู้สึกตื่นตาตื่นใจของธรรมชาติอันสมบูรณ์แบบนี้ได้
*****เสร็จสิ้นจากกิจกรรมทางด้านวิทยาศาสตร์ฯ น้องๆ เยาวชนก็มาผ่อนคลายกับกิจกรรมสนับสนุนวิทยาศาสตร์ คือ การสรุปภาพรวมของค่ายฯ โดยใช้ฐาน Rally มีทั้งดูวีดิทัศน์สาเหตุการเกิดโลกร้อน วิธีการช่วยป้องกันโลกร้อน และทำอย่างไรให้โลกหายร้อน ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมศิลปะ ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ Creative Thinking นำของเหลือใช้มาสร้างเป็นของเล่น ของใช้ เรียนรู้หลักความพอเพียง สามห่วง สองเงื่อนไข
*****จากนั้นตบท้ายด้วยกิจกรรมสัญญาใบไม้ เพื่อกระตุ้นจิตสำนึกให้น้องๆ เยาวชนได้ระลึกไว้เสมอว่าแม้จะจบจากค่ายฯ นี้ไป แต่ความหมายของ พอเถอะ…ร้อนจัง ยังไม่จบ และต้องทำตลอดไป โดยเรา ขอให้น้องๆ แต่ละคนสัญญาไว้กับใบไม้เอาไว้ 1 ข้อว่า เขาจะกลับไปทำอะไรที่จะช่วยให้ใบไม้แม้เพียงแค่ใบเดียวในป่าสะแกราช หรือที่ไหน ๆ ก็ตามแต่ในโลก ได้หลุดร่วงจากต้นช้าลง ซึ่งความหมายที่แฝงไว้จากกิจกรรมนี้ก็คือ ช่วยกันทำให้ภาวะโลกที่กำลังร้อนขึ้น ๆ ได้เกิดขึ้นช้าลงไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งไม่เกิดขึ้นเลย (ถ้าเป็นไปได้) แม้จะเป็นเพียงสัญญาจากเยาวชนตัวเล็ก ๆ สองมือเล็ก ๆ หนึ่งสมองเล็ก ๆ คนละแค่ 1 ข้อ แต่ถ้าสัญญาทั้ง 51 ข้อนั้น น้องๆ เยาวชนทั้ง 51 คนร่วมมือร่วมใจกันนำไปปฏิบัติจริง ก็จะกลายเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ที่เกิดขึ้นได้จริง และช่วยโลกใบนี้ได้จริงอย่างยั่งยืน ดังคำกล่าวที่ว่า สามัคคีคือพลัง
*****สำหรับใครที่สนใจอยากจะเข้าร่วมกิจกรรมค่ายวิทยาศาสตร์เยาวชนในปีต่อไป สามารถรอติดตามรายละเอียดได้จากทาง http://www.tistr.or.th
มิงกาลาบา (ตอนที่ 2)
***
*****เป้าหมายการเดินทางต่อไปคือเมืองพุกาม ซึ่งยังคงต้องใช้บริการเครื่องบินภายในประเทศเป็นพาหนะนำไป ใช้เวลาเพียงหลับตื่นเดียวก็มาถึงเมืองพุกามแล้ว พุกาม ดินแดนแห่งเจดีย์หมื่นองค์ เป็นเมืองเก่าแก่ตั้งแต่สมัยพุทธศตวรรษที่ 16 อาณาจักรพุกามในเวลานั้นมีความเจริญสูงสุด เพราะกษัตริย์ในราชวงศ์นี้ล้วนมีความศรัทธาในพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก ทุกพระองค์นิยมสร้างเจดีย์ เพื่อเป็นการเสริมสร้างสิริมงคลให้กับรัชสมัยของพระองค์ จนทำให้เมืองพุกามเต็มไปด้วยเจดีย์ใหญ่น้อย จนได้รับสมญานามว่าดินแดนแห่งทะเลเจดีย์หมื่นองค์ และด้วยความยิ่งใหญ่ของเจดีย์จำนวนมากที่ยังคงมีเสน่ห์ ดึงดูดให้ผู้คนไฝ่ฝันที่จะมา พุกามจึงเป็นเมืองประวัติศาสตร์ที่สวยงามมากแห่งหนึ่งของประเทศพม่า ยังจำถึงความรู้สึกแรกที่ได้เหยียบย่างบนแผ่นดินพุกาม ดูเหมือนตัวเองย้อนกลับไปสู่อดีตสมัย ทัศนียภาพรอบด้านเต็มไปด้วยเจดีย์ใหญ่น้อยสลับซับซ้อนกัน ไม่ปรากฏร้านค้า หรือบ้านเรือนใดๆ มาให้ระคายตาเหมือนในที่บางแห่ง ต้องขอชมว่าทางการพม่าควบคุมดูแลดีมาก ทำให้ผู้มาเยือนสามารถสร้างจินตนาการถึงความเป็นอยู่ของผู้คนในยุคนั้นได้ชัดเจน พุกามตั้งอยู่ริมแม่น้ำอิรวดี มีอายุมากกว่า 900 ปี ตามประวัติศาสตร์กล่าวว่าพระเจ้าอโนรธาเป็นผู้สร้างเมืองพุกาม และเป็นผู้รวบรวมชนชาติพม่าเป็นปึกแผ่นได้เป็นครั้งแรกในอาณาจักรพุกาม ปัจจุบันเหลือเพียงกำแพงเมืองด้านในและด้านตะวันออกเท่านั้น กล่าวกันว่า จำนวนเจดีย์ที่แท้จริงนั้นมีมากกว่า 10,000 องค์ ซึ่งถือว่าค่อนข้างยิ่งใหญ่มากเมื่อเทียบกับจำนวนเจดีย์ที่เหลืออยู่ในปัจจุบัน ส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในสภาพค่อนข้างสมบูรณ์ เนื่องจากพุกามเป็นเขตแห้งแล้ง ทำให้เจดีย์ไม่ได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติ อีกทั้งชาวพม่าก็ถือคติไม่ทำลายเจดีย์อย่างเคร่งครัด
*****อาณาจักรพุกามเจริญรุ่งเรืองมายาวนาน และถึงกาลอวสานเมื่อกองทัพมองโกลที่แข็งแกร่ง นำโดยกุ๊บไลข่านบุกเข้าโจมตี และมีชัยชนะ อาณาจักรพุกามจึงปิดฉากลง เมื่อปี พ.ศ. 1830 สิ้นสุดความรุ่งเรืองทิ้งไว้แต่ศิลปวัฒนธรรมให้ชนรุ่นหลังได้ติดตามและศึกษา มาจวบจนทุกวันนี้
*****ศาสนสถานของพุกามมีหลายแห่ง ที่สำคัญได้แก่ เจดีย์ชเวซิกอง ซึ่งเป็นหนึ่งในเจดีย์หลายพันองค์ที่คงความสวยงาม และเป็นมหาเจดีย์สำคัญอันดับสองรองจากเจดีย์ชเวดากองในกรุงย่างกุ้ง เจดีย์ชเวซิกองเป็นมหาเจดีย์ที่บรรจุพระทันตธาตุของพระพุทธเจ้า ตามประวัติบันทึกไว้ว่า พระเจ้าอนุรุธได้พบชินระหันหรือพระอรหันต์ชาวมอญจากเมืองสะเทิมรูปหนึ่ง ซึ่งนายพรานเนื้อคนหนึ่งได้นิมนต์เข้ามา พระเจ้าอนุรุธนิมนต์ให้เข้าไปเฝ้าและให้นั่ง แต่ปรากฏว่าชินระหันเลือกที่นั่งสูงที่สุดและแสดงธรรมโปรด จนพระองค์เลื่อมใส หันมานับถือพุทธศาสนา และแนะนำให้ส่งสาส์นไปขอพระไตรปิฎก ๓๐ คัมภีร์จากเมืองสะเทิมของพวกมอญ ขณะนั้นพระเจ้ามนุหาทรงปกครองเมืองมอญ และไม่ทรงยินยอมให้พระไตรปิฎก จนเป็นเหตุให้พระเจ้าอนุรุธยกกองทัพไปปราบได้สำเร็จ จึงได้อัญเชิญพระไตรปิฎกมาเมืองพุกาม พร้อมทั้งกวาดต้อนชาวมอญ ช่างฝีมือ นักปราชญ์ และราชบัณฑิตของเมืองมอญมาที่พุกาม ทำให้พม่าได้รับอิทธิพลศิลปวัฒนธรรมจากมอญมาโดยไม่รู้ตัว มีการอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุขึ้นมาด้วยบนหลังช้าง ถ้าช้างหมอบลงที่ใดก็ให้สร้างพระเจดีย์ที่ตรงนั้น สถานที่แห่งแรกที่ช้างหมอบคือพระเจดีย์ชเวซิกอง ลักษณะตัวเจดีย์มีรูปทรงเหมือนระฆังคว่ำแบบมอญ ความหมายของเจดีย์ชเวซิกอง คือ “เจดีย์ที่ตั้งอยู่บนพื้นทราย”
*****เมื่อ พระเจ้ามนุหา เจ้าเมืองมอญถูกจับมาเป็นเชลยอยู่ที่เมืองพุกาม ทรงคับแค้นพระทัยมาก จนได้ระบายออกมาด้วยการสร้างวัดมนูหะพญาตามชื่อของพระองค์โดยสื่อถึงความในใจที่เป็นทุกข์ และอึดอัดพระทัยที่ถูกจับมาเป็นเชลย ด้วยการสร้างพระพุทธรูปที่มีขนาดใหญ่มากๆ ถึง 4 องค์ด้วยกันและประดิษฐานอยู่ในวิหารหลังเล็กนิดเดียว ตัวองค์พระมีขนาดใหญ่มากอยู่แนบชิดกับผนังวิหาร คราใดที่คนเข้าไปกราบไหว้บูชา จะรู้สึกถึงความอึดอัดอย่างมาก เพียงแค่เดินเข้าไปยังต้องทำตัวให้ลีบเข้าไว้ เพราะพื้นที่ภายในคับแคบมาก จนผู้ไปเที่ยวต่างขนานนามพระที่วัดนี้ว่า พระอึดอัด และ เชื่อกันว่าหากผู้ใดมีความอึดอัดหรือไม่สบายใจ ให้มาบูชาเพื่อแก้เคล็ด จะได้คลายจากเรื่องอึดอัดใจที่มีอยู่
*****และใครที่อยากเห็นหน้าตาพระเจ้ามนุหาเป็นอย่างไร ขอแนะนำให้เดินออกมารอบนอกวิหารวัดมนูหะพญา จะเห็นรูปปั้นเหมือนของกษัตริย์มนุหากับมเหสีนั่งคู่กัน สังเกตให้ดีจะเห็นพระพักตร์เศร้าหมองมากๆ ทำให้อดคิดสงสารและเห็นใจในความทุกข์ของพระองค์ ซึ่งน่าจะตรงกับคำโบราณที่ว่า คับที่อยู่ได้ คับใจอยู่ยาก เป็นแบบนี้นี่เอง
*****ยังมีเรื่องที่จะเล่าอีกมาก แต่เหนื่อยแล้ว คราวหน้าหากว่างจากงานประจำ พอมีเวลาบ้างจะเล่าเรื่องพระธาตุอินทร์แขวนและความเกี่ยวพันกับเจ้าจันท์ผมหอมให้ฟัง วันนี้ขอบอกว่า มิงกาลาบา– สวัสดี